สำหรับการซื้อขายแบบประมูลนั้น บรรดานักวิชาการสลัฟซอและห์ได้มีความเห็นต่างและแบ่งออกเป็น 3 ทัศนะ ดังนี้
ทัศนะของ ท่านอิบรอฮีม อันนะคะอีย์ เป็นนักนิติศาสตร์ชาวกูฟะฮ์ เป็นครูของท่านอีหม่ามอบูฮานีฟะฮ์ ได้มีทัศนะว่า ไม่อนุญาตให้การทำการขายแบบประมูลโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ
#หลักฐานของอิบรอฮีม อันนะคะอีย์
1. ฮาดีษที่รายงานโดยมุสลิม.
عن ابي هريرة ان رسول الله صلى الله عليه وسلم قال : لا يسم المسلم على سوم اخيه.
" รายงานจากอบูฮูรอยเราะห์ (รฎ) ใด้กล่าวว่า แท้จริงท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ซอลลัลลอฮูอาลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า : มุสลิมคนหนึ่งเขาจะต้องไม่ซื้อสินค้าทับราคาพี่น้องมุสลิมด้วยกัน "
(รายงานโดย มุสลิม)
*แต่หลักฐานข้างต้นนี้นักวิชาการส่วนใหญ่จากมัสฮับทั้งสี่ได้ตอบโต้ว่า...
" ไม่ได้เป็นหลักฐานมาหักล้างหรือเป็นหลักฐานบ่งชี้ถึงการห้ามการขายแบบประมูลแต่อย่างใด เนื่องจากการซื้อขายทับราคาผู้อื่นในรายงานของมุสลิมนี้นั้นเป็นการทับราคาหลังจากที่พ่อค้ากับผู้ซื้อคนแรกได้ตกลงราคากันเป็นอันเรียบร้อยแล้ว ซึ่งแตกต่างกับการประมูลที่คนขายหรือเจ้าของสินค้ายังไม่พอใจต่อราคาที่ผู้ซื้อหยิบยื่นให้และตราบใดที่พ่อค่ายังไม่พอใจในราคาดังกล่าวก็ยัคงอนุญาตให้ผู้อื่นทำราคาได้อีก "
2. ฮาดีษที่รายงานโดย อ้ลบัสซ้าร
عن سفيان بن وهب قال سمعت النبي صلى الله عليه وسلم ينهی عن بيع المزايدة.
"รายงานจาก ซุฟยาน อิบนุ วะหฺบ์ กล่าวว่า : ฉันใด้ยินท่านนบี ซอลลัลลอฮูอาลัยฮิวะซัลลัม ห้ามจากการซื้อขายแบบประมูล"
(รายงานโดย อัลบ้สซ้าร)
*แต่นักวิชาการส่วนใหญ่จากมัสฮับทั้งสี่ก็ได้โต้แย้งหลักฐานของอิบรอฮิม ต้นนี้เช่นกันโดยกล่าวว่า :
" ฮาดีษต้นนี้ไม่สามารถนำมาเป็นหลักฐานได้เนื่องจากในสายรายงาน มีคนรายงานอยู่คนหนึ่งที่ชื่อ อิบนุ ละฮีอะห์ ซึ่งคนนี้ฏออีฟ " ดังที่ อิบนุ ฮะญัรได้กล่าวไว้ในฟัตฮุลบารีย์...หรือ แม้นว่าฮะดิสนี้จะแข็งแรงขึ้นมาด้วยเหตุใดก็ตามแต่ คำว่า "อัลมุซายะดะ" ตรงนี้ถูกตีความโดยจะให้ความหมายว่า การย้อมแมวหรือตบตาผู้ซื้อ แต่ใช้สำนวนเหมือนกับการประมูลนั้นเอง เพราะเป็นไปไม่ด้ที่ท่านนบี ซอลลัลลอฮูอาลัยฮิวะซัลลัม จะห้ามการประมูลเนื่องจากท่านเองก็ทำการประมูลเช่นกัน ผมจะชี้แจงเรื่องนี้ในการระบุหลักฐานของทัศนะที่ 3 อินชาอัลลอฮ์
ทัศนะนี้เป็นของ อีหม่าม อัลเอาซาอีย์ และอิสฮาก อิบนุ รอฮ์วัยฮ์ ซึ่งเป็นนักนิติศาสตร์ของเมืองชาม ได้ให้ทัศนะว่า
" ไม่อนุญาตให้กระทำการขายแบบประมูลเว้นแต่ในเรื่อง มรดก หรือ ทรัพย์สงคราม เท่านั้น "
ฮะดิสที่รายงานโดย อิบนุคุซัยมะห์ และ อิบนุ ญารุ้ด และ อัดดารุกุฏนีย์ และอะห์หมัด และฏอบรอนีย์
عن ابن عمر قال نهی رسول الله صلى الله عليه وسلم ان يبيع احدكم على بيع احد حتى يذر الا الغناءم والمواريث
" รายงานจาก อิบนุ อุมัร (รฎ) ได้กล่าวว่า : ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ซอลลัลลอฮูอาลัยฮิวะซัลลัม ได้ห้ามจากการที่คนๆหนึ่งขายทับการขายของคนอื่น ยกเว้นในเรื่องทรัพย์สงคราม และมรดก "
(รายงานโดย อิบนุ คุซัยม่ะ และ อิบนุ ญารูด และ อัดดารุกุฏนีย์ และอะห์หมัด และ ฏอบรอนีย์)
*แต่บรรดานักวิชาการส่วนใหญ่จากมัสฮับทั้งสี่ได้ทำการตอบโต้หลักฐานของอีหม่ามเอาซาอีย์และอิสหากว่า...
1.ในสายรายงานของ อะหมัด และอัดฏอบรอนีย์ และ อัดดารุกฎนีย์นั้นมีคนรายงานที่ชื่อ อิบนุ ละฮีอ่ะห์ ซึ่งได้กล่าวไปแล้วว่า เขาฎออีฟในการรายงานฮาดีษ...แต่ก็มีสายรายงานที่มากเช่นกันในการรายงานถึงตัวบทฮาดีษนี้ และได้มีรายงานของ อิบนุ ญารูด เพิ่มขึ่นมาอีกสายหนึ่งซึ่งเป็นสายของ อุมัร อิบนุ มาลิกมาสนับสนุนอีกจึงทำให้สายรายงานนี้แข็งแรงขึ้นมาจึงสามารถนำมาเป็นหลักฐานได้
2.แม้นว่าฮาดีษดังกล่าวจะข็งแรงขึ้นมาก็ตามที แต่ฮะดิสดังกล่าวนั้น นักวิชาการส่วนใหญ่กล่าวว่า...
" ฮะดิสดังกล่าวนั้นที่ยกเว้นไม่ใช่ยกเว้นเฉพาะเรื่องทรัพย์สงครามและมรดกแต่มันยกเว้นถึงเรื่องการทำการประมูลทั้งหมด นั้นหมายถึง ที่อนุยาตินั้นไช่ว่าจะอนุญาตเฉพาะการประมูลในสองเรื่องนี้เท่านั้นแต่ทว่าเป็นการอนุญาตให้ทำการประมูลซึ่งยกเว้นมาจากการขายทับราคาของคนอื่น เนื่องจากที่ว่าไปแล้วว่าการประมูลนั้นเป็นการขายทับราคาที่เจ้าของสินค้ายังไม่พอใจกับราคาที่ผู้ซื้อเสนอจึงสามารถที่จะประทูลราคาให้สูงได้อีก
และสาเหตุที่ในฮาดีษนี้อนุญาตให้ประมูลได้แค่เฉพาะสองเรื่องนี้นั้นเนื่องจาก สมัยนั้นการประมูลจะแพร่หลายเฉพาะในสองเรื่องนี้เท่านั้นโดยจะไม่ใช้กันในเรื่องอื่น แต่พอหลังจากนั้นก็ได้มีการประมูลในเรื่องอื่นๆเช่นกัน และหลักฐานในเรื่องที่กล่าวอ้างนี้คือ ท่านนบี ซอลลัลลอฮูอาลัยฮิวะซัลลัมได้ทำการประมูลด้วยกับตัวของท่านเองโดยที่สินค้านั้นไม่ได้เกี่ยวกับทรัพย์สงครามหรือมรดกแต่อย่างใด และตัวบทเรื่องนี้ผมจะชี้แจงในหลักฐานของทัศนะที่ 3 อินชาอัลลอฮ์
เป็นทัศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่ของโลกอิสลาม เช่น อีหม่ามทั้งสี่ อบูฮานีฟะห์ , มาลิก , ชาฟีอีย์ , อะห์หมัด และคนอื่นๆ...โดยมีทัศน่ะว่า
" อนุญาตให้ทำการขายแบบประมูลได้ ตราบใดที่ผู้ขายหรือเจ้าของสินค้ายังไม่พอใจต่อราคาที่ผู้ซื้อหรือผู้ประมูลเสนอมาให้ และเมื่อใดที่เจ้าของสินค้าพอใจในราคาของคนหนึ่งคนใดแล้วก็ถือว่าการประมูลนั้นสิ้นสุดลงและไม่อนุญาตให้ทำการประมูลต่อ
ฮะดิสที่รายงานโดย ติรมีซีย์ อบูดาวูด นาซาอีย์ อิบนุมาญะ
عن انس انه صلی الله عليه وسلم باع حلساً وقدحاً وقال : من يشتري هذا الحلس والقدح؟ فقال رجل : اخذتهما بدرهم فقال : من يزيد على درهم؟ فاعطاه رجل درهمين فباعهما منه.
" รายงานจาก อนัส(รฎ) ใด้กล่าวว่า : แท้จริงท่านนบี ซอลลัลลอฮูอาลัยฮีวะซัลลัม ได้ทำการขายพรมผืนหนึ่งและแก้วน้ำหนึ่งใบ โดยที่ท่านประกาศว่า : ใครต้องการที่จะซื้อพรมและจอกใบนี้บ้าง? ทันใดนั้นก็มีชายคนหนึ่งกล่าวว่า : ฉันขอซื้อมันทั้งสองด้วยราคาหนึ่งดิรฮัม ท่านจึงกล่าวต่อไปอีกว่า : ใครต้องการที่จะซื้อโดยให้เพิ่มไปกว่าหนึ่งดิรฮัมบ้าง? ดังนั้นก็ได้มีชายคนหนึ่งให้เงินกับท่านจำนวนสองดิรฮัม ท่านจึงขายสิ่งของทั้งสองแก่เขา "
(รายงานโดย ติรมีซีย์ และ อบูดาวูด และ นาซาอีย์ และ อิบนุ มาญะฮ์ และสำนวนฮะดิสนี้เป็นสำนวนของรายงานติรมีซีย์ โดยที่อีหม่ามติรมีซีย์ได้กล่าวว่า ฮาดีษนี้อยู่ในสถานะฮะซัน)
*จากหลักฐานของนักวิชาการส่วนใหญ่ข้างต้นนั้นดังที่ผมกล่าวไปแล้วว่า เป็นการล้มล้างทัศนะที่หนึ่งของอีหม่ามอิบมรอฮีม อันนะคะอีย์ โดยที่ท่านนบี ซอลลัลลอฮูอาลัยฮิวะซัลลัม ได้กระทำการประมูลเอง ดังนั้นหลักฐานที่ห้ามการขายทับราคาคนอื่นในฮะดิสของทัศนะแรกนั้นไม่สามารถนำมาหักล้างว่าไม่อนุญาตให้ทำการประมูลได้ เนื่องจากการประมูลนั้นราคายังไม่ถูกพอใจจากเจ้าของดังที่ได้กล่าวไปแล้ว
และฮะดิสนี้ก็ลบล้างทัศนะที่สองของอีหม่ามอัลเอาซาอีย์และอิสหาก อิบนุรอฮ์วัยไปในตัวเช่นกัน เนื่องจากฮะดิสนี้บ่งชี้ว่าท่านไม่ได้อนุญาตประมูลเฉพาะทรัพย์สงครามและมรดกเท่านั้น เนื่องจากฮะดิสนี้ สิ่งของที่ท่านประมูลขายนั้นไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องทรัพย์สงครามหรือมรดกเลย...
" ตักมิละ ฟัตฮิ้ลมุ้ลฮิม ชาเราะห์ ซอเฮี้ยะห์มุสลิม "
ของเช็ค มุฟตี มุฮัมหมัด ตะกีย์ อัลอุสมานีย์ มุฟตีอะอ์ศ็อมของปากีสถานคนปัจจุบัน
(ผู้ตัดสินชี้ขาดปัญหาศาสนาสูงสุดของปากีสถานคนปัจจุบัน ผู้พิพากษาประจำนครการาจี ผอ.คณะนิติศาสตร์อิสลามแห่งมหาวิทยาลัยดารุ้ลอูลูม นครการาจี)
และจากหนังสือ
" ฟิกฮุ้ลอิสลามีย์วะอะดิ้ลละตุฮู"
ของเชค ดร.วะห์บะห์ อัสซุฮัยลีย์ (รอฮิมาหุลลอฮ์) ได้ระบุถึงรายละเอียดและเงื่อนไขที่คลอบคลุมถึงหลักการของการขายแบบประมูลอย่างถูกต้องไว้ดังนี้...
إن مجلس مجمع الفقه الإسلامي المنعقد في دورة مؤتمره الثامن ببندر سري بجاون، بروناي دار السلام من ١ إلى ٧ محرم ١٤١٤هـ الموافق ٢١ - ٢٧ يونيو ١٩٩٣م.
بعد اطلاعه على البحوث الواردة إلى المجمع بخصوص موضوع: (عقد المزايدة)
وبعد استماعه إلى المناقشات التي دارت حوله،
وحيث إن عقد المزايدة من العقود الشائعة في الوقت الحاضر، وقد صاحب تنفيذه في بعض الحالات تجاوزات دعت لضبط طريقة التعامل به ضبطا يحفظ حقوق المتعاقدين طبقا لأحكام الشريعة الإسلامية، كما اعتمدته المؤسسات والحكومات، وضبطته بتراتيب إدارية، ومن أجل بيان الأحكام الشرعية لهذا العقد.
بعد اطلاعه على البحوث الواردة إلى المجمع بخصوص موضوع: (عقد المزايدة)
وبعد استماعه إلى المناقشات التي دارت حوله،
وحيث إن عقد المزايدة من العقود الشائعة في الوقت الحاضر، وقد صاحب تنفيذه في بعض الحالات تجاوزات دعت لضبط طريقة التعامل به ضبطا يحفظ حقوق المتعاقدين طبقا لأحكام الشريعة الإسلامية، كما اعتمدته المؤسسات والحكومات، وضبطته بتراتيب إدارية، ومن أجل بيان الأحكام الشرعية لهذا العقد.
قرر مايلي:
١ - عقد المزايدة: عقد معاوضة يعتمد دعوة الراغبين نداء، أو كتابة للمشاركة في المزاد ويتم عند رضا البائع.
٢ - يتنوع عقد المزايدة بحسب موضوعه إلى بيع وإجارة وغير ذلك، وبحسب طبيعته إلى اختياري كالمزادات العادية بين الأفراد، وإلى إجباري كالمزادات التي يوجبها القضاء. وتحتاج إليه المؤسسات العامة والخاصة، والهيئات الحكومية والأفراد.
٣ - إن الإجراءات المتبعة في عقود المزايدات من تحرير كتابي، وتنظيم، وضوابط وشروط إدارية أو قانونية، يجب أن لا تتعارض مع أحكام الشريعة الإسلامية.
٤ - طلب الضمان ممن يريد الدخول في المزايدة جائز شرعا، ويجب أن يرد لكل مشارك لم يرس عليه العطاء، ويحتسب الضمان المالي من الثمن لمن فاز بالصفقة.
٥ - لا مانع شرعا من استيفاء رسم الدخول (قيمة دفتر الشروط بما لا يزيد عن القيمة الفعلية) لكونه ثمنا له.
٦ - يجوز أن يعرض المصرف الإسلامي، أو غيره مشاريع استثمارية ليحقق لنفسه نسبة أعلى من الربح، سواء أكان المستثمر عاملا في عقد مضاربة مع المصرف أم لا.
٧ - النجش حرام، ومن صوره:
أـ أن يزيد في ثمن السلعة من لا يريد شراءها ليغري المشتري بالزيادة.
ب ـ أن يتظاهر من لا يريد الشراء بإعجابه بالسلعة وخبرته بها، ويمدحها ليغر المشتري فيرفع ثمنها.
ج ـ أن يدعي صاحب السلعة، أو الوكيل، أو السمسار، ادعاء كاذبا أنه دفع فيها ثمن معين ليدلس على من يسوم.
د ـ ومن الصور الحديثة للنجش المحظورة شرعا اعتماد الوسائل السمعية، والمرئية، والمقروءة، التي تذكر أوصافا رفيعة لا تمثل الحقيقة، أو ترفع الثمن لتغر المشتري، وتحمله على التعاقد.
١ - عقد المزايدة: عقد معاوضة يعتمد دعوة الراغبين نداء، أو كتابة للمشاركة في المزاد ويتم عند رضا البائع.
٢ - يتنوع عقد المزايدة بحسب موضوعه إلى بيع وإجارة وغير ذلك، وبحسب طبيعته إلى اختياري كالمزادات العادية بين الأفراد، وإلى إجباري كالمزادات التي يوجبها القضاء. وتحتاج إليه المؤسسات العامة والخاصة، والهيئات الحكومية والأفراد.
٣ - إن الإجراءات المتبعة في عقود المزايدات من تحرير كتابي، وتنظيم، وضوابط وشروط إدارية أو قانونية، يجب أن لا تتعارض مع أحكام الشريعة الإسلامية.
٤ - طلب الضمان ممن يريد الدخول في المزايدة جائز شرعا، ويجب أن يرد لكل مشارك لم يرس عليه العطاء، ويحتسب الضمان المالي من الثمن لمن فاز بالصفقة.
٥ - لا مانع شرعا من استيفاء رسم الدخول (قيمة دفتر الشروط بما لا يزيد عن القيمة الفعلية) لكونه ثمنا له.
٦ - يجوز أن يعرض المصرف الإسلامي، أو غيره مشاريع استثمارية ليحقق لنفسه نسبة أعلى من الربح، سواء أكان المستثمر عاملا في عقد مضاربة مع المصرف أم لا.
٧ - النجش حرام، ومن صوره:
أـ أن يزيد في ثمن السلعة من لا يريد شراءها ليغري المشتري بالزيادة.
ب ـ أن يتظاهر من لا يريد الشراء بإعجابه بالسلعة وخبرته بها، ويمدحها ليغر المشتري فيرفع ثمنها.
ج ـ أن يدعي صاحب السلعة، أو الوكيل، أو السمسار، ادعاء كاذبا أنه دفع فيها ثمن معين ليدلس على من يسوم.
د ـ ومن الصور الحديثة للنجش المحظورة شرعا اعتماد الوسائل السمعية، والمرئية، والمقروءة، التي تذكر أوصافا رفيعة لا تمثل الحقيقة، أو ترفع الثمن لتغر المشتري، وتحمله على التعاقد.
(الفقه الاسلامي وادلته 1219-1221/7)
ความว่า
" แท้จริงแล้วสภามัจลิสขององค์กรนิติศาสตร์อิสลามที่ได้จัดขึ้นในหลักสูตรการประชุมครั้งที่ 8 ที่เมืองบันดาร์เสรีเบฆาวัน ประเทศบรูไนดารุสสลาม
เมื่อวันที่ 1 ถึง 7 เดือนมุฮัรรอม ฮศ. 1414 ตรงกับวันที่ 21 - 27 มิถุนายน คศ. 1993
หลังจากได้ปรากฎผลในการวิจัยที่ได้ดำเนินไปในเรื่อง (การขายแบบประมูล) และหลังที่ได้มีรับฟังสนทนาเกี่ยวกับมัน
และแท้จริงแล้วการทำสัญญาการประมูลที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ผู้ดำเนินการในบางกรณีมีเหลื่อมล้ำในขอบเขตุเรียกร้องเพื่อปรับวิธีการจัดการกับระเบียบการเพื่อรักษาสิทธิของผู้ทำสัญญาการประมูลตามระเบียบการของบทบัญญัติดังที่ได้ถูกใช้ในการปกครองของรัฐบาลและการปกครองในระบอบอิสลาม และเพื่อรักษาการจัดการและเพื่อชี้แจงบทบัญญัติเพื่อการนี้
จึงสรุปข้อตกลงตามที่ประชุมว่าต้องมีเงื่อนไขดังนี้
1- การทำสัญญาประมูล ต้องเป็นสัญญาผูกมัดแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้าที่มีการเรียกร้องด้วยกับการป่าวประกาศ หรือเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรต่อผู้ร่วมประมูลทีมีความต้องการในการเพิ่มราคาสินค้าใด้ทราบ และการประมูลจะสิ้นสุดลงเมื่อผู้ขายพอใจกับราคาของสินค้าที่ผู้ประมูลใด้หยิบยื่นให้.
2 - การทำสนธิสัญญาการประมูลนั้นสามารถเป็นไปได้หลายประเภท ซึ่งจะมีความแตกต่างอันเนื่องมาจากสาเหตุของการเกิดขึ้นของการทำสนธิสัญญาไปยังการขายและการเช่าซื้อและอื่นๆเป็นต้น และเนื่องด้วยแวดล้อมในการทำสนธิสัญญา เช่น การทำสนธิสัญญาโดยทั่วไปที่เลือกกระทำได้ด้วยตนเอง เช่นการประมูลราคาโดยทั่วๆไปเป็นรายบุคคล หรือการทำสนธสัญญาที่ถูกยังคับให้กระทำโดยที่ไม่สามารถที่จะขัดขืนมันได้ เช่น การประมูลที่มีผลสืบเนื่องที่เกี่ยวข้องกับการพิพากษา
และประการที่สองนี้เป็นสิ่งที่กฎหมายการปกครองระบอบอิสลามจำเป็นต่อมัน ไม่ว่าโดนภาพรวมหรือส่วนบุคคล และไม่ว่าจะมาในรูปแบบของรัฐหรือเอกชน
3 - ขั้นตอนการจัดการของการประมูลอย่างเช่นการบรรทึกและการจัดระเบียบและการควบคุมข้อตกลงและเงื่อนไขทางด้านการบริหารหรือทางด้านกฎหมาย ทั้งหมดไม่ควรขัดแย้งกับบทบัญญัติของศาสนาอิสลาม
4 - การขอให้มีการค้ำประกันจากผู้ที่จะเข้าร่วมในสนธิสัญญาประมูลนั้นเป็นสิ่งที่อนุญาตตามบทบัญญัติ และจำเป็นที่จะต้องคืนค่าประกันกลับแก่ผู้เข้าร่วมที่ไม่ได้รับหรือครอบครองสิ่งของที่ถูกประมูลเนื่องด้วยเหตุไม่ชนะในการประมูล และสำหรับผู้ที่ชนะในการประมูลนั้นเงินค้ำประกันของเขาที่เขาได้ค้ำประกันการเข้าร่วมประมูลจะถูกให้กลับโดยหักจากราคาของสินค้าที่เขาได้ไป
5 - ไม่มีข้อห้ามตามบทบัญญัติในการเก็บค่าธรรมเนียมแรกเข้า (ค่าธรรมเนียมตามเงื่อนไขที่ไม่มากไปกว่ามูลค่าจริง) เนื่องจากสิ่งดังกล่าวนั้นจะเป็นราคาสินค้า(จะถูกรวมในราคาสินค้าเมื่อเขาได้มา)สำหรับเขา
6 - อนุญาตให้ทำการประมูลหุ้นที่เป็นการลงทุนที่เสนอโดยธนาคารอิสลามหรือการลงทุนในโครงการอื่น ๆ เพื่อให้บรรลุอัตราที่สูงขึ้นของกำไร ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยในการเก็งกำไรของนักลงทุนมูฎอรอบะฮ์ที่จัดขึ้นกับธนาคารหรือไม่
7 - การทำนะญัช หรือการย้อมแมวในการทำสนธิสัญญานั้นเป็นสิ่งที่ฮารอม และรูปแบบต่างๆของมันมีดังนี้ :
ก.คนๆหนึ่งขอซื้อเพิ่มขึ้นในราคาของรายการที่เขาเองนั้นไม่ต้องการที่จะซื้อจริง แต่เพื่อที่จะล่อใจผู้ซื้อรายอื่นที่จะซื้อในราคาที่เพิ่มขึ้น
ข.ผู้ที่ไม่ต้องการที่จะซื้อสินค้าหลอกว่ามีความชอบและต้องการต่อสินค้า แต่เขาทำการพูดหว่านล้อมและบอกถึงสรรพคุณของสินค้าที่เกินจริงเพื่อที่จะตบตาผู้ซื้อและเพื่อที่ผู้ซื้อจะได้ซื้อในราคาที่สูงกว่า
ค.เจ้าของสินค้า หรือตัวแทนของเขา หรือนายหน้าของเขาทำการกล่าวอ้างเท็จว่าเขาได้จ่ายเงินไปบางส่วนในสินค้านี้เพื่อที่จะโกงผู้ประมูล
ง. รูปแบบล่าสุดที่ไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติ คือการยึดถือหรือใช้เครื่องมือสื่อสารแบบเสียงและภาพและการพิมพ์โดยที่สิ่งเหล่านี้ระบุถึงคุณลักษณะที่เกินจริงหรือเพิ่มราคา เพื่อที่จะตบตาผู้ซื้อและตกลงในการทำสนธิสัญญา
(ฟิกฮุ้ลอิสลามีย์วะอะดิ้ลละตุฮู หน้า 1219-1221 เล่มที่ 7)
ท่านถามมาสิ เเล้วเราจะตอบ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น